โดยปกติแล้ว โมเดลของการรับตัดเสื้อผ้าสุนัขตามออเดอร์ มักจะมีเรทราคาเริ่มต้น-กลาง อยู่ที่ตัวละ 350-450 บาท โดยมีขั้นตอนในการสร้างรายได้คือ
1. ถ่ายภาพของผ้า ที่จะใช้ตัดชุดลงใน FB หรือ IG เพื่อให้ลูกค้าเตรียมสั่งจอง ในจุดนี้ ความสวยงามของผ้า จะเป็นตัวกระตุ้นลูกค้าได้ดี ซึ่งทำให้คนนิยมใช้ผ้าลายลิขสิทธิ์ ลายการ์ตูน มาใช้ในการตัดเย็บค่อนข้างมาก เพราะตัวผ้าเองนั้น มีมูลค่าในตัวอยู่ก่อนเเล้ว และเป็นสินค้าที่มีกลุ่มแฟนคลับชื่นชอบ ทำให้ผู้ขายง่ายต่อการนำไปสร้างผลงานและรายได้
2. ลงภาพชุดที่ตัดเสร็จแล้ว โดยใช้ผ้าจากข้อ 1 ซึ่งขั้นตอนนี้จะเรียกความนิยมจากกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น เพราะชุดเสร็จแล้ว จากนั้นจึงเปิดรับออเดอร์สั่งตัด แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้ไป
เพราะผู้ขายนั้นมีกำลังผลิตน้อย (ทำคนเดียว) ทำให้ต้องมีการจำกัดออเดอร์ เช่น รับแค่ 20 คน เป็นต้น หรือหากผ้าผืนนั้นมาน้อยจริงๆ อาจจะได้แค่ 4-5 คน 3. จากข้อ 2 จะเห็นได้ว่า ตัวสินค้ามีน้อยกว่าปริมาณความต้องการ ทำให้เกิดการจับจองเร็วมาก สินค้าจะหมดไว
นี่คือโมเดลยอดนิยม ที่ใครก็ตามที่มีทักษะในการตัดเย็บและแพทเทิร์นเสื้อผ้าสัตว์เลี้ยง ก็สามารถนำไปทำเงินได้ แต่ความหินของโมเดลนี้ก็คือ หากคุณเป็นหน้าใหม่ จะเข้าไปแทรกเจ้าที่ทำมาก่อนแล้วได้ยาก เพราะเขาทำมาก่อน สะสมฐานลูกค้าเอาไว้แล้ว สิ่งที่คุณพอจะสู้ได้มี 2 อย่างคือ แบบชุดและราคา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียใจพอสมควร ที่หลายๆ คนเลือกที่จะตัดราคาและลดคุณภาพสินค้าลง (หรือไม่ก็ทำชุดคล้ายคนก่อนๆ) เพียงเพื่อต้องการที่จะเข้ามาทำเงินด้วยโมเดลการขายนี้บ้าง
แล้ว Gatto เป็นใคร ทำไมถึงมาตัดขายชุดละตั้งเกือบ 2 พัน!!
Gatto ไม่ได้เป็นร้านรับตัดเสื้อผ้าสัตว์เลี้ยงเซเลปมาจากไหนเลยค่ะ เป็นพนักงานกินเงินเดือนธรรมดาๆ ทั่วไป ที่กลางวันต้องไปทำงาน และกลางคืนต้องมานั่งปั่นออเดอร์ชุดน้องหมาจนดึกดื่น (แต่สถานะปัจจุบันคือลาออกจากงานประจำแล้ว ทำชุดหมาขายเต็มตัว) จนกระทั่งช่วงพีคๆ ที่ละครเรื่องบุพเพสันนิวาสดังมากๆ ทำให้กระเเสชุดไทยน้องหมามีความต้องการสูง ชนิดที่ว่า ไม่ว่าร้านไหนมีชุดไทยสุนัข-แมว ออกมาขายทันกระแส ยังไงร้านนั้นก็กำไร!! แต่เมื่อหมดกระเเสแล้ว Gatto ก็กลับสู่สภาวะเดิม นั่นก็คือออเดอร์ไม่ได้ถล่มทะลาย ถ่ายรูปชุดอัพลงไอจี เตรียมตัวรับออเดอร์ลูกค้า บางชุดก็เงียบด้วยซ้ำ เมื่อหมดหน้าเทศกาล ไม่มีกระเเสให้เกาะ นั่นจึงทำให้ถึงจุดที่ Gatto จะต้องเอาตัวรอด นั่นก็คือ "ต้องเรียนรู้อะไรใหม่ๆ และค้นหาสไตล์ของตัวเองให้เจอ"
ที่ผ่านมา จนเข้าสู่ช่วงกระเเสบุพเพสันนิวาสดัง ตลาดเป็นตัวกำหนดราคาขายให้ Gatto มาโดยตลอด
ในอดีตGatto ไม่สามารถทำราคาขายเสื้อผ้าที่ตัดขายได้ มากไปกว่าชุดละ 350-450 บาท
เพราะใช้วิธีการตั้งราคาโดยอิงจากราคาทั่วๆ ไปของตลาด อิงจากแนวโน้มของชุดที่คนนิยมทำขาย จึงทำให้ต้องแข่งขันกับคู่เเข่งได้เพียงเรื่องเดียว นั่นก็คือ "ราคา" (เพราะดีไซน์เสื้อผ้าของร้านก็ไม่แตกต่างจากร้านอื่นๆ เช่นกัน)
ราคาชุดไทยในตลาดเสื้อผ้าสัตว์เลี้ยงนั้น อยู่ที่ 350-450 โดยประมาณ และถ้ายิ่งเป็นชุดไม่ได้สั่งตัด เป็นงานโหลก็จะมีราคาที่ต่ำกว่านี้ลงไปอีกมาก
นั่นทำให้ Gatto เริ่มมองเห็นความสำคัญของการแยกตัวเองออกมาจากตลาด และสร้างตลาดของตัวเองขึ้นมา เพราะตราบใดที่ยังอิงตลาดเสื้อผ้าสัตว์เลี้ยงองค์รวม และไม่ได้มีกำลังผลิตจำนวนมาก หรือช่องทางในการขายไม่เเข็งเเกร่ง ก็ยังต้องแข่งขันในเรื่องของราคาต่อไป
ตัดชุดขายตัวละ 790 บาท คือก้าวแรกในการปรับราคาขึ้นมาเป็นเท่าตัว
ครั้งแรกที่ต้องปรับราคาขายจากชุดละ 350-450 ที่เคยทำมา ขยับมาเป็น 790 บาท ซึงเราที่ผู้สอนรู้ได้ถึงความกังวลที่สูงมาก ในการปรับราคาของคุณปอ (เจ้าของแบรนด์ Gatto) เพราะถึงแม้จะเคยขายมาก่อนแล้ว 2 ปี และมีฐานลูกค้าติดตามในระดับหนึ่ง แต่กลุ่มลูกค้านั้นไม่เคยซื้อของที่มากกว่าราคา 450 บาทเลย บางทีมีการต่อราคาเกิดขึ้นด้วยซ้ำ หากขายชุดละ 790 บาท ก็มีโอกาสสูงมากๆ ที่จะขายไม่ออก ลูกค้าไม่ซื้อ
ส่วนหนึ่งด้วยเนื้องานในคลาสเรียนส่วนตัว จึงค่อนข้างที่จะบังคับให้แบรนด์ต้องปรับราคาขาย ในส่วนนี้ต้องขอบคุณคุณปอมากๆ ที่เชื่อใจกัน เพราะหากทางผู้เรียนยืนกรานจะไม่ปรับราคา จะขายตัวละ 450 บาท ก็ต้องปรับแผนการสอนให้เหมาะสมกับผู้เรียนเลือก ชุดกางเกงยีนส์ เสื้อลายขวางขาวดำ และผ้าพันคอสีแดง เป็นโปรเจกต์แรก และการทำสต๊อกขายครั้งเเรกของ Gatto ที่ปกติแล้วจะรับงานในลักษณะ Pre-order นั่นแปลว่าคุณปอจะต้องลงทุนสต๊อกผ้าจำนวนมากขึ้น แบกต้นทุนที่สูงขึ้นจากที่เมื่อก่อนซื้อมาแค่ 1-2 เมตร ตัดแค่ตัวเดียว อัพรูปลงไอจี แล้วรอลูกค้ามาสั่งตัด จากนั้นจึงค่อยวิ่งไปซื้อผ้าเพิ่ม แต่ครั้งนี้คือการให้กลั้นใจทำสต๊อกไปเลย แล้วออกมาขายรวดเดียว ซึ่งปรากฏว่าสามารถขายได้ทั้งหมด 18 ตัว (ถ้าจำไม่ผิด) ภายในระยะเวลาประมาณ 1 อาทิตย์กว่า
790 x 18 = 14,220 บาท (ได้ค่าเรียนคืนมาแล้วครึ่งนึง ^^)
อะไรที่ทำให้ลูกค้ายอมซื้อของที่แพงขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ?
ในครั้งแรกที่มีการปรับราคาขายเป็นชุดละ 790 นั้น ทางแบรนด์มีทั้งลูกค้าเก่าและใหม่อุดหนุน แต่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าลูกค้าเก่านั้นมีมากกว่า ในเมื่อลูกค้าเคยซื้อชุดตัวละไม่เกิน 450 บาท ทำไมครั้งนี้ถึงยอมจ่ายมากกว่าเดิม ทั้งๆ ที่แบบชุดที่มีการ Re-Design ใหม่นี้ ไม่ได้เป็นไปตามกระเเสตลาดนิยม อย่างเช่น ชุดน้องหมาตัดจากผ้าลายลิขสิทธิ์ กระโปรงระบายเป็นชั้นๆ ฯลฯ
วิเคราะห์สาเหตุที่ลูกค้ายอมซื้อชุดที่เเพงขึ้นเท่าตัว ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนแบรนด์ขายถูกกว่านี้
1. ร้าน Gatto มีความน่าเชื่อถือในตัวเอง มาจากการที่ขายชุดหมามาแล้ว 2 ปี ทำให้มีฐานลูกค้าอยู่บ้าง ซึ่งในจุดนี้ ใครที่เป็นมือใหม่ หรือยังไม่เคยขายมาก่อน อยากจะเริ่มเข้ามาในวงการนี้บ้าง อย่ารอให้ตัวเองตัดสวยจนไม่มีที่ติ
แต่เราสามารถตัดในแบบของเรา อาจจะอิงตามตลาดมาก่อน แล้วค่อยๆ ปรับตัว ขยับขยาย เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในวันที่สะสมเงินทุน หรือฐานลูกค้าได้ในระดับหนึ่ง
2. Design ที่เปลี่ยนไป แม้จะไม่ได้วิ่งตามตลาด แต่เจอความเป็นตัวเองมากขึ้น ทำให้ลงดีเทลบนเสื้อผาได้ละเอียดขึ้น ผลงานจึงออกมาดีตามไปด้วย ข้อนี้สำคัญมากค่ะ ประโยคหนึ่งที่จะบอกทุกๆ คนเสมอคือ ถ้าตัดป้ายยี่ห้อร้านเราออกไป แล้ววางชุดเรากองรวมกับคนอื่นๆ ในตลาด ชุดของเราแตกต่างไหม เขาจำชุดเราได้หรือเปล่า ในขณะที่คนอื่นทำกระโปรงชั้นๆ คอบัว เสื้อเชิ้ต ชุดเอี๊ยม แต่ Gatto เลือกที่จะทำชุดเรียบง่าย แต่ Relate กับเสื้อผ้าคนสูง
3. สร้างกระเเสความนิยมให้ตัวสินค้า ก่อนเปิดตัว
สิ่งหนึ่งที่คุณปอไม่เคยทำเลย นั่นก็คือการ Pre-Launch หรือการเผยผิวๆ เผยนั่นนิดนี่หน่อย เกี่ยวกับตัวสินค้าด้วยวิธีที่น่าสนใจมากขึ้น ในเมื่อคนอื่นมักจะโพสต์แต่รูปผ้าเป็นผืนๆ ในการเตรียมบอกลูกค้าว่าฉันจะมีชุดใหม่แล้วนะ
แต่ Gatto ทำขั้นตอนนี้แตกต่างออกไป นั่นคือการขายเบื้องหลังการทำงาน ทำให้คนเริ่มเห็นและรับรู้ว่าเรากำลังจะมีสินค้าใหม่ออกและ เราตั้งใจกับมันมากแค่ไหน
4. เปิดตัวเป็นสินค้าพร้อมส่ง และจำนวนชุดที่มีจำกัด คือตัวกระตุ้นให้ลูกค้าต้องตัดสินใจให้เร็วขึ้น เพราะหากคิดช้าคือชุดหมดแล้ว และไม่ผลิตอีกแล้ว
ความขาดแคลนนั้นถือว่าเป็นจิตวิทยาในการขายชั้นดี ที่สามารถนำมาปรับใช้ได้กับทุกคน
หากเราไม่สามารถทำชุดแบบเดิมออกมาขายตลอดไปแล้วขายดี
เพราะสินค้าแต่ละตัวก็มีวงจรของมัน จะมีช่วงที่กราฟพุ่งขึ้น ได้ความนิยม จนกระทั่งกราฟตกลงและขายไม่ได้ ไม่มีใครสนใจ ถ้าไม่เชื่อ ลองดูอย่างไมโลคิวบ์ หรือไม่ก็ดอกมุราคามิก็ได้
บันได 2 ขั้นในการปรับราคา เพื่อเกลี่ยความรู้สึกของลูกค้า
ขั้นแรก Gatto ปรับราคาจาก 350-450 มาเป็น 790 บาท และขั้นที่ 2 คือปรับขึ้นมาเป็นราคาเริ่มต้น 1,800 บาท ซึ่งการดีดราคาขึ้นมาอีกเท่าตัวกว่าๆ นี้ มันแตะที่หลักพันแล้ว ใช่ว่าทุกคนจะดีดราคาขึ้นมาขนาดนี้ แล้วขายกันได้ง่ายๆ ทุกคน แต่ Gatto ทำได้ นั่นเป็นเพราะว่า...
กล้าเสี่ยงครั้งมหันต์ และความกล้าหาญในการล้มกระดานทุกอย่าง ที่ตัวเองเคยสร้างมากับมือ
นี่คืองานล้มโต๊ะอย่างแท้จริง!! จากการเป็นร้านค้าที่ชื่อว่า Gatto มีการปรับภาพลักษณ์ของความเป็นแม่ค้า ขยับขึ้นมาเป็น Designer เนื้องานและการนำเสนอจึงเปลี่ยนไปในทุกๆ มิติ ไล่มาตั้งแต่ Logo ร้าน โทนสี แบบชุด ราคา วิธีการคิด กระบวนการทำงานทุกๆ อย่าง ตลอดจนกลุ่มลูกค้าที่ตัวเองถือไว้ในมือ
นี่คือการเสี่ยงครั้งสำคัญของแบรนด์ เสี่ยงมาก!! ถ้าขายไม่ได้ ชุด Collection ถือว่าเจ๊งเลย
เพราะเสื้อผ้าสัตว์เลี้ยงที่ราคาพุ่งสูงขึ้นไปถึง 1,800 บาท ซึ่งนี่ยังเป็นแค่ราคาเริ่มต้นด้วยซ้ำ แน่นอนว่าราคาขนาดนี้ ฐานลูกค้าที่เคยมืออยู่ในมือ จะไม่ใช่ทุกคนที่ตัดสินใจซื้อชุดของ Gatto แต่นี่แหละ ที่เป็นสาเหตุให้แบรนด์เจอทางของตัวเอง
Gatto ไม่ได้ตัดเสื้อผ้าสัตว์เลี้ยง เพื่อเอาใจตลาดกลุ่มใหญ่
ชุดฟูฟ่อง อลังการงานสร้างขนาดนี้ ถามว่าใส่ไปไหน ราคาเท่าไร ใครเป็นคนซื้อ
ชุดแบบนี้มันเป็นเซนส์ง่ายๆ เลยว่า เป็นชุดที่ตัดขึ้นในโอกาสพิเศษ ไม่ได้ให้น้องหมาใส่วิ่งเล่นอยู่บ้านเฉยๆ แต่เจ้าของสามารถพาน้องไปออกงานได้อย่างไม่อายใคร
ถามว่าชุดออกงานของคนราคาเท่าไร ก็ไม่เท่าชุดที่เราใส่อยู่บ้านวันปกติธรรมดาๆ แน่นอน เสื้อผ้าสัตว์เลี้ยงก็เช่นกัน และอีกอย่างคือเรื่องของความแปลกใหม่ ทั้งต่อสายตาของกลุ่มลูกค้าเก่าและใหม่ เสื้อผ้าที่ผ่านการ Re Brand และ Re Design ครั้งนี้มีความโดดเด่นสูงมาก
ชุดในโอกาสพิเศษสร้างบันไดขั้นถัดไป นั่นก็คือ ชุดสำหรับงานประกวดเสื้อผ้าสัตว์เลี้ยง
"งานประกวด" ถือว่าเป็นอะไรที่เจ้าของจะยอมกันไม่ได้เลย ชุดที่ใส่ขึ้นเวทีจะต้องบรรจุความสร้างสรรค์ และความสวยงามอย่างเต็มเปี่ยม และ Gatto ตอบโจทย์ทุกอย่างสำหรับเงื่อนไขของชุดที่จะใส่ขึ้นเวทีประกวด ไม่ว่าจะเป็น
ความสวยงาม
ความอลังการ
คลามสดใหม่ของการออกแบบ
ความปราณีตในการตัดเย็บ
สิ่งที่ Gatto ชัดเจนมากๆ ก็คือตัดเย็บเสื้อผ้าสัตว์เลี้ยง ออกมาตอบสนองความต้องการคนกลุ่มเล็กๆ ที่เห็นคุณค่างาน Design หากวันนี้ Gatto ยังคงมุ่งหน้าไปตลาดใหญ่ ก็อาจจะทำได้แค่ในระดับค่าเฉลี่ยที่คนอื่นทั่วไปทำกัน
ดังนั้น หน้าที่ในการสร้างผลงานออกมา ไม่จำเป็นเลยที่เราจะทำเพื่อเอาอกเอาใจทุกคน หน้าที่ของเรามีเพียงแค่ค้นหาคนที่อยู่ไม่ได้ ถ้าขาดเราไป นั่นแหละคือโจทย์หลัก คนกลุ่มๆ เล็กๆ นั้นคือใคร ต้องการอะไร และเราจะไปหาเขาเจอได้ที่ไหน ด้วยวิธีการอะไรบ้าง
ซึ่งเมื่อเราหาเจอและทำได้แล้ว ราคาชุดที่ตัดขายของเราจะไม่ตายตัว หรือถูกกำหนดโดยราคาเฉลี่ยของตลาดอีกต่อไป
สินค้าและบริการของ Gatto ไม่ได้มีเพื่อคนทุกคน แต่มีเพื่อคนบางกลุ่มเท่านั้น
และยิ่งเป็นกลุ่มคนที่เล็ก แต่ไม่มีใครสามารถตอบสนองความต้องการของเขาได้ นั่นเป็นเรื่องปกติธรรมดามากที่ราคาเสื้อผ้าแบรนด์ Gatto จะมีราคาสูง มันเป็นไปตามกลไกของตลาดในเรื่องอุปสงค์และอุปทาน
สินค้ามีน้อย แต่คนต้องการมาก ย่อมต้องมีราคาแพง
แต่ถ้าสินค้านั้นมีอยู่จำนวนมาก คนต้องการน้อยกว่า ก็ต้องถัวเฉลี่ยราคาขายกันไป
สามารถติดตามผลงาน หรือสั่งตัดเสื้อผ้าสัตว์เลี้ยงในโอกาสพิเศษได้ที่ Facebook :: https://www.facebook.com/gattopetfashion/
Instagram :: gatto_petfashion
Line :: i.gatto Call :: 093-595-6562 (คุณปอ)
Comments